เว็บไซต์ติดไวรัส วิธีการป้องกันและแก้ไข เว็บไซต์ติดไวรัส
1. ไวรัสคืออะไร??
ไวรัสในเว็บไซต์ (Web-based malware) หรือที่เรียกว่ามัลแวร์ (Web malware) คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกออกแบบเพื่อทำความเสียหายหรือทำลายข้อมูลบนเว็บไซต์หรือในอุปกรณ์ของผู้ใช้ที่เข้าชมเว็บไซต์นั้น ๆ โดยส่วนใหญ่มัลแวร์ที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์จะมีวัตถุประสงค์เพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว, ทำลายข้อมูล หรือระบาดและแพร่กระจายไปยังเครือข่ายอื่น ๆ หรืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเว็บไซต์นั้น ๆ
เว็บไซต์ติดไวรัสจะมีลักษณะต่าง ๆ ได้รับแบ่งออกเป็นหลายประเภทเช่น
- ไวรัส (Viruses) คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถแทรกตัวเข้าไปในโค้ดของเว็บไซต์หรือไฟล์ต่าง ๆ เพื่อทำลายข้อมูลหรือทำความเสียหาย
- โทรจัน (Trojans) โปรแกรมที่แสวงหาการเข้ารหัสลับข้อมูลของผู้ใช้หรือทำการควบคุมระบบโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว โทรจันทำงานโดยการปกปิดตัวเองในซอฟต์แวร์หรือไฟล์ที่ดูเหมือนได้รับการยอมรับ หรือมีประโยชน์ในการใช้งาน เมื่อผู้ใช้ทำการดาวน์โหลดหรือติดตั้งโทรจัน มันก็เริ่มทำงานโดยซ่อนตัวและทำภารกิจต่าง ๆ ที่ผู้ไม่ประสงค์ดีต้องการ เช่น
– การควบคุมระบบ โทรจันสามารถควบคุมของระบบคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ของผู้ใช้ได้ ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถดำเนินการทำลายข้อมูล, ขโมยข้อมูลหรือกระทำการที่เป็นอันตรายได้
– การแฝงโค้ดที่อันตราย โทรจันอาจทำการแฝงโค้ดที่อันตรายลงในระบบ ทำให้มีโอกาสในการทำลายไฟล์, ครอบครองข้อมูลหรือกระทำกิจกรรมที่ไม่ถูกต้อง.
– โจมตีบริเวณกว้าง โทรจันอาจเป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีหลายขั้นตอน เป็นตัวกลางที่ใช้เปิดทางให้มัลแวร์อื่น ๆ เข้าถึงระบบ
- มัลแวร์ล็อกเกอร์ (Keyloggers) เป็นโปรแกรมมัลแวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อบันทึกการกดคีย์บอร์ด (keyboard input) โดยลับหลังจากผู้ใช้ป้อนข้อมูลผ่านคีย์บอร์ด โปรแกรมนี้บันทึกข้อมูลที่ถูกป้อนเป็นล็อก (log) ซึ่งสามารถนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ที่มัลแวร์นี้ถูกสร้างขึ้น ล็อกเกอร์มักถูกนำมาใช้เพื่อดักรับข้อมูลที่มีค่าเช่น
– ข้อมูลการเข้ารหัส (Credentials) มัลแวร์ล็อกเกอร์สามารถบันทึกชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านที่ผู้ใช้ป้อนเข้าสู่ระบบ เช่นเข้าสู่บัญชีอีเมล, บัญชีธนาคาร หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ
– ข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ ล็อกเกอร์สามารถบันทึก URL ของเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เข้าชม ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีทราบถึงกิจกรรมออนไลน์ของเหยื่อ.
– ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลส่วนตัวที่ผู้ใช้ป้อน เช่นที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ที่ผู้ไม่ประสงค์ดีอาจสนใจ
– ข้อมูลการทำธุรกรรม ล็อกเกอร์สามารถบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมออนไลน์ เช่น การซื้อขายออนไลน์ หรือการกระทำทางการเงินอื่น ๆ มัลแวร์ล็อกเกอร์สามารถกระทำอย่างลับ ๆ โดยไม่ทำให้ผู้ใช้ทราบและมักถูกนำเข้ามาผ่านการติดตั้งโปรแกรมหรือไฟล์ที่ไม่น่าเชื่อถือ - ไวรัสร้าย (Malicious scripts) โค้ดที่ทำงานบนเว็บไซต์และสามารถทำความเสียหายหรือทำงานไม่ถูกต้องในอุปกรณ์ของผู้ใช้.
- มัลแวร์ร้ายแรง (Ransomware) โปรแกรมที่เข้ารหัสข้อมูลในอุปกรณ์ของผู้ใช้แล้วขอเงินค่าไถ่เพื่อให้ผู้ใช้กู้คืนข้อมูล
- การโจมตีผู้ใช้ (Social Engineering) การใช้เทคนิคโซเชียล เอ็นจิเนียริ่ง เพื่อหลอกลวงผู้ใช้เข้าไปยังเว็บไซต์ที่มีมัลแวร์
- การโจมตีแบบ Cross-Site Scripting (XSS) การใส่โค้ด JavaScript ที่อันตรายลงในเว็บไซต์เพื่อทำลายหรือขโมยข้อมูลจากผู้ใช้
- การโจมตีแบบ SQL Injection คือการป้อนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องที่สามารถโจมตีฐานข้อมูลของเว็บไซต์ได้
2. ทำไมเว็บไซต์ติดไวรัส?
เว็บไซต์ติดไวรัสสามารถเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ โดยเราสามารถสรุปได้ดังนี้
- โปรแกรมที่ไม่ปลอดภัย เว็บไซต์ที่ไม่ปลอดภัยอาจใช้โปรแกรมที่มีช่องโหว่หรือมีรหัสที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งทำให้มีโอกาสที่ผู้ไม่ประสงค์ดีจะสามารถแทรกโค้ดที่อันตรายได้
- ช่องโหว่ของเว็บเบราว์เซอร์ บางครั้งการมีช่องโหว่ในเว็บเบราว์เซอร์ที่ทำให้เว็บไซต์นั้นๆ สามารถถูกโจมตีได้ ผู้ไม่ประสงค์ดีอาจใช้ช่องโหว่เหล่านี้เพื่อติดตั้งโค้ดที่อันตรายหรือโปรแกรมมัลแวร์
- การใช้ Plug in ที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่วนมากจะเป็น free Plug in ไม่ควรดาว์นโหลดมาใช้งาน
- การใช้ theme theme free ส่วนมากมักจะเป็นช่องโหว่ของไวรัส ควรศึกษาให้ดีก่อนการใช้งาน
- การใช้ไฟล์ดัดแปลงจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถืออาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีอาจแทรกโค้ดที่อันตรายลงในไฟล์ของเว็บไซต์ หรือแทนที่ไฟล์ด้วยไฟล์ที่มีโค้ดที่ไม่ปลอดภัย
3. เว็บไซต์ติดไวรัสแล้วเกิดอะไรขึ้น?
เว็บไซต์ติดไวรัสสามารถมีผลกระทบทางเทคนิคและทางการใช้งาน และอาจเกิดการขโมยเงินในธนาคารต่อผู้ใช้ได้โดยมีลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
ความเสียหายทางเทคนิค
– การเข้าถึงข้อมูล ไวรัสสามารถทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีได้รับการเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ในเว็บไซต์เช่นฐานข้อมูล, ไฟล์สคริปต์ หรือข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้
– การทำลายข้อมูล ไวรัสสามารถทำลายหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่อยู่ในระบบ ทำให้เว็บไซต์ไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ.
– การแทรกโค้ดที่อันตราย ไวรัสสามารถแทรกโค้ดที่อันตรายลงในเว็บไซต์ ทำให้ผู้ใช้ที่เข้าชมเว็บไซต์นั้นเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือการโจมตี
ความเสียหายทางการใช้งาน
– ข้อมูลส่วนตัวถูกขโมย ไวรัสที่ถูกติดในเว็บไซต์สามารถใช้เพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เช่น ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัตรเครดิต
– การโจมตีผู้ใช้ ไวรัสอาจถูกใช้ในการโจมตีผู้ใช้โดยการแสดงข้อความหลอกลวง, การเพิ่มลิงก์ที่อันตราย หรือการเปลี่ยนเนื้อหาของเว็บไซต์.
– การกระทำที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ไวรัสสามารถทำให้ผู้ใช้ต้องเผชิญกับการโจมตีด้านความเป็นส่วนตัวหรือความปลอดภัยของข้อมูล
เว็บไซต์ของคุณจะถูกปิดกั้นการค้นพบของ google คุณจะไม่ได้รับการใช้แพลตฟอร์มโฆษณาของ google ได้ กรณีที่ติดไวรัสร้ายแรงเช่น Torjan google จะขึ้นแสดงเว็บไซต์อันตรายใน Browser
การระบาดและการแพร่กระจาย
– การติดตั้งไวรัสในอุปกรณ์ผู้ใช้ ไวรัสที่ติดตั้งบนเว็บไซต์อาจกระทบต่ออุปกรณ์ของผู้ใช้ที่เข้าชมเว็บไซต์นั้นๆ
– การแพร่กระจายไปยังเว็บไซต์อื่น ไวรัสสามารถแพร่กระจายไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ทำให้มีการระบาดของมัลแวร์
3. วิธีป้องกันเว็บไซต์ติดไวรัส
การป้องกันเว็บไซต์ติดไวรัส เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและผู้ใช้ของคุณ โดยที่สามารถช่วยป้องกันไวรัสในเว็บไซต์ได้ดังนี้
- อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ การอัปเดตระบบปฏิบัติการ, เซิร์ฟเวอร์และซอฟต์แวร์ทั้งหมดเป็นประจำเพื่อปิดทุกระเบียบการรั่วไหลของความปลอดภัย
- ใช้การเชื่อมต่อที่ปลอดภัยผ่านโพรโทคอล HTTPS เพื่อการสื่อสารที่ปลอดภัยระหว่างเว็บไซต์และผู้ใช้.
- ติดตั้งและกำหนดค่า Firewall เพื่อควบคุมการเข้าถึงที่เว็บไซต์ของคุณ.
- ตรวจสอบ Input Validation คือทำการตรวจสอบและกรองข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเข้าสู่ระบบเพื่อป้องกันการโจมตีแบบ SQL injection หรือ Cross-Site Scripting (XSS).
- ป้องกันการทำลายข้อมูล (Data Backup) สร้างการสำรองข้อมูล (backup) ประจำเพื่อที่จะสามารถกู้คืนข้อมูลหากถูกทำลายหรือถูกไวรัสทำลาย.
- ใช้ความปลอดภัยในระบบเว็บ ใช้เทคนิคความปลอดภัยเว็บที่แข็งแกร่ง เช่น Content Security Policy (CSP) เพื่อป้องกันการทำลายข้อมูลและการโจมตีต่าง ๆ.
- ตรวจสอบรหัสที่น่าเชื่อถือ รีวิวและตรวจสอบโค้ดของเว็บไซต์เพื่อค้นหาช่องโหว่ที่เปิดเผยข้อมูลหรือทำให้เว็บไซต์เป็นเป้าหมายของการโจมตี.
- ให้สิทธิ์ในการเข้าถึง การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้และเฉพาะให้สิทธิ์ที่จำเป็นต่อเว็บไซต์ เพื่อลดความเสี่ยงของการนำไวรัสเข้ามา.
- ตรวจสอบเว็บไซต์เป็นประจำ โดยการตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์ เช่นการสแกนไวรัสและประจำการทดสอบช่องโหว่.
- การจัดการการเข้าถึงข้อมูล จัดการสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลอย่างระมัดระวัง ให้เพียงคนที่จำเป็นเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการแก้ไขหรือดูข้อมูลที่สำคัญ.
4. การแก้ไขเว็บไซต์ติดเว็บไซต์
การแก้ไขเว็บไซต์ที่ติดไวรัสเป็นกระบวนการที่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากไวรัสสามารถทำความเสียหายกับข้อมูลและความเชื่อถือได้มาก โดยสามารถทำเพื่อแก้ไขเว็บไซต์ที่ติดไวรัสได้ดังนี้
- ตรวจสอบเว็บไซต์ ใช้เครื่องมือตรวจสอบไวรัสออนไลน์ เช่น Google Safe Browsing, Sucuri SiteCheck หรือ VirusTotal เพื่อตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณมีไวรัสหรือไม่
- เข้าสู่ระบบเว็บโฮสต์ เข้าสู่ระบบที่ใช้ในการจัดการเว็บไซต์ของคุณ (cPanel, Plesk หรือระบบจัดการอื่น ๆ)
- สำรองข้อมูล คือทำการสำรองข้อมูลเว็บไซต์และฐานข้อมูลก่อนที่จะทำการลบหรือแก้ไขไฟล์
- ปรับแต่งรหัสผ่าน เปลี่ยนรหัสผ่านของระบบเว็บโฮสต์, FTP และฐานข้อมูล.
- อัพเดตซอฟต์แวร์ที่ใช้บนเว็บไซต์ เช่น CMS (WordPress, Joomla), plugins, themes เป็นต้น
- สแกนไฟล์ ใช้โปรแกรมตรวจสอบไวรัส เพื่อสแกนไฟล์บนเซิร์ฟเวอร์.
- ลบไฟล์ที่ติดมัลแวร์หรือไวรัส ค้นหาไฟล์ที่มีโค้ดที่ไม่ควรจะอยู่ในเว็บไซต์.
- เปลี่ยนชื่อไฟล์ต่าง ๆ คือการเปลี่ยนชื่อไฟล์ที่สำคัญ เช่น index.php เป็นชื่อที่ไม่คาดเดาได้.
- ติดตั้งช่องโหว่ประจำเว็บไซต์ ปรับแต่งการตั้งค่าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย เช่นการปิดการเปิดใช้งาน directory listing.
- แจ้งเจ้าหน้าที่ ในกรณีที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ แจ้งให้เจ้าหน้าที่ของเว็บโฮสต์หรือผู้ดูแลระบบทราบ
- เปลี่ยน Password ของผู้ใช้ ถ้ามีผู้ใช้หลายคน เช่นผู้ดูแลระบบหรือผู้เข้าใช้ CMS ให้เปลี่ยนรหัสผ่านของพวกเขาด้วย.
- ปฏิบัติตามแนวทางการรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์ เช่น Content Security Policy (CSP), HTTP Strict Transport Security (HSTS) และการตั้งค่าความปลอดภัยของฐานข้อมูล.
- ทดสอบเว็บไซต์เพื่อตรวจสอบว่าปัญหาไวรัสได้ถูกแก้ไขหรือไม่
- ป้องกันอนาจาร ติดตั้งเครื่องมือป้องกันอนาจารบนเว็บไซต์เช่น Web Application Firewall (WAF).
- ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ การปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยที่สามารถช่วยคุณวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาไวรัส
การแก้ไขเว็บไซต์ที่ติดไวรัสเป็นกระบวนการซับซ้อนและขึ้นอยู่กับลักษณะของการรุกราน ควรดำเนินการอย่างรอบคอบและระมัดระวังเพื่อปกป้องเว็บไซต์ของคุณ.