โดเมนเนม คืออะไร โดเมนเนมคือ ชื่อที่ใช้ระบุตำแหน่งทางที่ตั้งของเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต หรือที่อื่น ๆ ในเครือของโครงข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Server เพื่อให้ผู้เข้าชมสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องจดจำหมายเลข IP (Internet Protocol) ที่ซับซ้อน สรุปง่าย ๆ ว่า โดเมนเนมก็คือชื่อของเว็บไซต์นั่นเอง
โดเมนเนมประกอบด้วยอะไรบ้าง?
โดเมนเนมมีสองส่วนหลัก คือชื่อโดเมน (Domain Name) และท็อป-เลเวล (Top-Level Domain, TLD) โดยส่วนหน้าของชื่อโดเมนเนมคือ ชื่อโดเมนเนมตามด้วยจุด (.) ซึ่งเรียกว่า Top-Level ตัวอย่างเช่น “websitegang.com” โดย “Website Gang” เป็นชื่อโดเมนเนมและ “.com” เป็น TLD หรือ Top -Level Domain.
ดังนั้นชื่อโดเมนเนมบ่งบอกถึงชื่อหน่วยงาน บริการ หรือสินค้า ที่สามารถมีเพียง 1 ชื่อในโลกเท่านั้น จึงมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งสำหรับทำเว็บไซต์ การทำธุรกิจออนไลน์จะต้องมีชื่อโดเมนเนมก่อน นอกจากนั้น Search Engine ยังให้ความสำคัญแก่ชื่อโดเมนเนม เป็นอับดับหนึ่งสำหรับการค้นหา การจดโดเมนเนม จึงจำเป็นต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง เพราะนั่นหมายถึง คีย์เวิร์ด ที่จะเป็นสะพานนำลูกค้ามาเข้าเว็บไซต์ การจดชื่อโดเมนเนมที่คล้องจองกับธุรกิจ ก็ทำให้การค้นหาธุรกิจได้ง่ายขึ้น
โดเมนเนมมีกี่ประเภท?
โดเมนเนม มี 2 ประเภทหลัก คือ
1. Generic Top-Level Domain (gTLD) คือคำต่อท้ายชื่อโดเมนเนม ทั่วไป แบบ International เช่น .com, .edu, .gov, .int, .mil, .net, .org, .info, biz เป็นต้น
2. Country Code Top-Level Domain (ccTLD) ชื่อโดเมนที่ลงท้ายด้วยอักษรย่อของประเทศนั้นๆ ส่วนประเทศไทยลงท้ายด้วย .th นอกจากนั้นโดเมนเนม .th ยังสามารถแยกประเภทออกรูปแบบธุรกิจ หรือองค์กร ต่างๆ ซึ่งการจดทะเบียนโดเมนเนมจะต้องใช้ เอกสารการจดทะเบียนบริษัท หรือองค์กร เพื่ออ้างอิงที่แตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น .co.th เป็นประเภทธุรกิจ, .or.th เป็นชื่อองค์กรต่างๆ เช่นสมาคม สมาพันธ์ , .gov.th เป็นประเภทหน่วยงานของรัฐ เป็นต้น
จดโดเมนเนม ต้องใช้อะไรบ้าง?
บริการ จดโดเมนเนม (Domain Name) คุณต้องใช้บริการผ่านตัวแทนจำหน่าย เรียกภาษาอังกฤษว่า Reseller ที่ได้รับการแต่งตั้งจากองค์กรหรือบริษัทที่ได้รับอนุญาตจาก ICANN (Internet Corporation for Assigned Names and Numbers) เป็นองค์กรหนึ่งเดียวที่ดูแลโดเมนเนมโลก เรียกว่า Domain Registrar
ขั้นตอนในการจดโดเมนเนม
1. เลือกโดเมนเนม คิดชื่อที่คุณต้องการให้เป็นโดเมนเนมของคุณ ต้องระวังที่จะเลือกชื่อที่ไม่ซ้ำกับผู้อื่นและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือแบรนด์ของคุณ
2. เลือกประเภทของโดเมนเนม ตัดสินใจว่าคุณต้องการ TLD อะไร เช่น “.com”, “.net”, “.org”, “.co.th” เป็นต้น
3. เลือกผู้ให้บริการจดโดเมนเนม เช่น Website Gang, GoDaddy, Namecheap, Google Domains หรือบริษัทอื่น ๆ
4. ทำการลงทะเบียนโดเมนเนมผ่านระบบที่คุณเลือก โดยกรอกข้อมูลที่จำเป็นเช่น ชื่อและนามสกุลผู้ลงทะเบียน ที่อยู่, อีเมล์ที่ใช้งานจริงเนื่องจากคุณจำเป็นต้องยืนยันความเป็นเจ้าของโดเมนเนมผ่านทางอีเมล์ที่คุณลงทะเบียนไว้และชำระค่าบริการหลังจากที่คุณลงทะเบียนทันที โดเมนเนมจะมีอายุ 365 วันนับจากวันที่ลงทะเบียน
5. ตั้งค่า DNS ย่อมาจาก Domain Name Server เพื่อกำหนดว่าโดเมนเนมนี้จะชี้ไปที่เซิร์ฟเวอร์ใด
หลังจากที่คุณลงทะเบียนโดเมนเนมแล้ว คุณจะได้รับสิทธิ์ในการใช้งานโดเมนเนมนั้นตามระยะเวลาที่คุณได้จ่ายค่าลงทะเบียนไว้ (โดเมนเนมจะต้องถูกต่ออายุเป็นระยะๆ) การจดโดเมนเนมเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการสร้างและรักษาองค์กรหรือเว็บไซต์อย่างมีประสิทธิภาพบนอินเทอร์เน็ต
ใครเป็นผู้ดูแลโดเมนเนม ?
ICANN หรือ “Internet Corporation for Assigned Names and Numbers” เป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการและควบคุมการจัดสรรและบริหารจัดการระบบชื่อโดเมนเนมและหมายเลขไอพี (IP addresses) บนอินเทอร์เน็ต. ICANN เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (non-profit organization) และได้รับการสนับสนุนจากชุมชนระหว่างประเทศที่ให้การสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
บทบาทหลักของ ICANN รวมถึง:
1. การจัดการโดเมนเนม (Domain Name System – DNS) ICANN มีสิทธิ์ในการกำหนดนโยบายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการระบบชื่อโดเมนเนม. นอกจากนี้ ICANN มีหน้าที่อนุมัติบริษัทที่เป็น Registrar และ Registry ที่มีสิทธิ์จัดการโดเมนเนมในระดับสูง
2. การจัดสรรที่อยู่ IP (IP Address Allocation):** ICANN มีบทบาทในการจัดสรรที่อยู่ IP และเขตพื้นที่ที่ใช้สำหรับอินเทอร์เน็ตทั่วโลก.
3. การตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย ICANN ทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มสนับสนุนการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายที่เกี่ยวข้องกับโดเมนเนม, ที่อยู่ IP, และความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ต
4. การสนับสนุนชุมชนอินเทอร์เน็ต ICANN ทำงานร่วมกับชุมชนอินเทอร์เน็ตในการสนับสนุนและเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับโดเมน, ที่อยู่ IP, และปัญหาที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างของอินเทอร์เน็ต
ICANN เป็นตัวกลางที่มีประสิทธิภาพในการประสานงานระหว่างผู้ให้บริการ, ผู้ถือครองโดเมน, และชุมชนอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเพื่อให้ระบบทำงานได้สมบูรณ์และมีความปลอดภัย
ผู้ดูแลโดเมนเนมในส่วนของผู้ใช้งาน คือ ผู้ที่ลงทะเบียนโดเมนเนมและจ่ายค่า บริการลงทะเบียนกับผู้ให้บริการจดโดเมนเนม เมื่อคุณลงทะเบียนโดเมนเนม คุณจะได้สิทธิ์ในการใช้งานโดเมนเนมนั้นตามระยะเวลาที่คุณจ่ายค่าลงทะเบียนไว้
ผู้จดทะเบียนโดเมนเนม สามารถจัดการตั้งค่าต่าง ๆ ของโดเมนเนม เช่น การเปลี่ยน DNS (Domain Name System) เพื่อชี้โดเมนเนมไปที่เซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการ, การตั้งค่า WHOIS (ทะเบียนข้อมูลผู้ถือครองโดเมน), การต่ออายุโดเมนเนมและการทำความปลอดภัยโดยเช่นการเปิดใช้งาน SSL
ถ้าหากคุณลงทะเบียนโดเมนเนมผ่านบริษัทที่ให้บริการจดโดเมนเนม คุณจะมีระบบล็อกอินเข้าจัดการโดเมนเนมของคุณ
สำหรับบริษัทหรือองค์กรที่มีทีม IT หรือผู้จัดการระบบเครือข่าย พวกเขาจะรับผิดชอบในการดูแลและจัดการโดเมนเนมของคุณได้ อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
การต่ออายุโดเมนเนมต้องทำอย่างไร?
การต่ออายุโดเมนเนมนั้นสามารถทำได้ผ่านบริษัทที่คุณได้ใช้บริการลงทะเบียนโดเมนเนมในเบื้องต้น ซึ่งการต่อโดเมนเนมคุณควรต่ออายุโดเมนเนม ก่อนโดเมนเนมหมดอายุ จึงจะเป็นผลดี หากคุรปล่อยโดเมนให้หมดอายุก่อน คุณอาจไม่สามารถต่ออายุโดเมนเนมได้ เนื่องจากโดเมนเนมของคุณอาจถูกล็อก และคุณจะต้องเสียค่าปรับ ในราราคาที่สูงมาก อ่านหัวข้อถัดไปถ้าไม่ต่ออายุโดเมนเนมจะเกิดอะไรขึ้น นี่คือขั้นตอนในการต่ออายุโดเมนเนม ผ่านระบบโดเมนเนมของคุณเอง ซึ่งบางบริษัทอาจจะมีบริการอายุให้คุณ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องทำขั้นตอนเหล่านี้ เพียงคุณโอนเงินให้กับผู้ให้บริการ คุณก็จะได้รับบริการต่ออายุโดเมนเนมได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและข้อตกลงกับผู้ให้บริการ
1. เข้าสู่ระบบบัญชีของคุณ เข้าสู่ระบบที่เว็บไซต์ที่คุณใช้บริการจดโดเมนเนม โดยทั่วไปคุณจะต้องใช้ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านของคุณ
2. เลือกโดเมนเนมที่ต้องการต่ออายุ ในหน้าจัดการโดเมน คุณจะพบรายการของโดเมนเนมที่คุณควรต่ออายุเลือกโดเมนเนมที่คุณต้องการ คุณควรเรียนรู้ปุ่มการใช้งานต่าง ๆ เพื่อให้การต่ออายุโดเมนเนมเป็นไปอย่างถูกต้อง
3. เลือกระยะเวลาการต่ออายุที่คุณต้องการต่ออายุโดเมนเนม เช่น 1 ปี, 2 ปี, หรือระยะเวลาอื่น ๆ ซึ่งราคาการต่ออายุโดเมนเนมของแต่ละบริษัทมีความแตกต่างกันออกไป
4. ชำระค่าบริการต่ออายุโดเมนเนม คุณเลือกวิธีการชำระเงินที่คุณต้องการใช้ เช่น บัตรเครดิต, PayPal หรือวิธีการชำระเงินอื่น ๆ ที่ผู้ให้บริการรองรับ
5. การยืนยันการทำรายการต่ออายุโดเมนเนม บางทีคุณอาจต้องตอบยืนยันทางอีเมลที่ที่คุณลงทะเบียนไว้ด้วย ยกเว้นกรณีที่คุณมีผู้ให้บริการจดโดเมนเนมเพื่อลดขั้นตอนที่ยุ่งยากสำหรับคุณ
7. ตรวจสอบสถานะหลังจากที่คุณทำการต่ออายุ ตรวจสอบสถานะการทำรายการในระบบของผู้ให้บริการ เพื่อให้แน่ใจว่าโดเมนเนมได้ถูกต่ออายุเรียบร้อย
การต่ออายุโดเมนเนม เป็นกระบวนการที่สำคัญในการรักษาสิทธิ์ในการใช้งานและความเป็นเจ้าของโดเมนเนมของคุณ เพื่อป้องกันไม่ให้โดเมนเนมหมดอายุและถูกคนอื่นลงทะเบียน
ถ้าไม่ต่ออายุโดเมนเนมจะเกิอะไรขึ้น ?
- เว็บไซต์หยุดทำงาน เนื่องจากข้อมูลของเว็บไซต์ จะถูกเรียกให้แสดงบน browser ต่างๆ ด้วยชื่อโดเมนเนม ที่ตั้งค่า DNS ไว้ เมื่อโดเมนเนมของคุณหมดอายุ เว็บไซต์ก็ไม่สามารถใช้งานได้
- ระบบอีเมล์หยุดทำงาน เมื่ออีเมล์ของคุณใช้ชื่อโดเมนเนม หากคุณไม่ต่ออายุโดเมนเนม อีเมล์ก็จะใช้งานไม่ได้
- กูเกิ้ล และ Search Engine อื่นๆ จะลบข้อมูลเว็บไซต์ออกจากระบบการค้นหา ถ้าคุณปล่อยให้โดเมนเนมหมดอายุ และไม่ต่ออายุโดเมนเนม ระบบการค้นหาจะลบข้อมูลของคุณออกโดยอัตโนมัติ ธุรกิจของคุณก็ไม่สามารถค้นหาได้อีกต่อไป
- ข้อมูลเจ้าของโดเมนเนม ที่จดทะเบียนไว้กับ Registrar จะถูกลบ
- หลังจากโดเมนเนมสิ้นสุดระยะเวลาผ่อนผัน โดเมนเนมจะถูกล็อกไว้โดยนายทะเบียนกลาง (Registra) เป็นเวลา 90 วัน หากต้องการต่อทะเบียนโดเมนเนมในช่วงนี้ จะต้องเสียค่าธรรมเนียมปลดล็อก 200 $
การย้ายโดเมนเนมต้องทำอย่างไร?
คุณต้องมี Authorize Code หมายถึง รหัสแสดงความเป็นเจ้าของโดเมนเนม โดยปกติแล้ว เมื่อคุณจดโดเมนเนม คุณจะต้องมีรหัสล็อคอิน เข้าจัดการโดเมนเนม ซึ่งในระบบจะมีฟังชั่นสำหรับสร้าง Authorized Code มีไว้สำหรับการย้ายโดเมนเนม
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ คุณต้องเป็นเจ้าของอีเมล์ที่ใช้สำหรับจัดการโดเมนเนม
ขั้นตอนการย้ายโดเมนเนม
1. Log in เข้าระบบโดเมนเนมของคุณ
2. ค้นหาปุ่มสำหรับย้ายโดเมนเนม คลิกปุ่มเพื่อทำการย้ายโดเมนเนม
3. กรอกชื่อโดเมนเนม และ Authorized Code
4. กรอกชื่อเจ้าของโดเมนเนมเป็นภาษาอังกฤษให้สมบูรณ์
5. ตรวจสอบอีเมล์ และชำระเงิน เมื่อลงทะเบียนแจ้งย้ายโดเมนเนมแล้ว ระบบจะรายละเอียดการชำระเงิน ไปที่อีเมล์
6. แจ้งชำระเงิน หลังจากที่ได้ชำระเงินเรียบร้อยแล้ว
7. เจ้าหน้าที่จะทำการยืนยัน ส่งวัตถุประสงค์ไปยัง Registrar เดิมระยะเวลา ประมาณ 14 วัน
8. เมื่อ Registrar ยอมรับแล้ว ระบบจะส่งอีเมล์ไปยังเจ้าของโดเมนเนม (อีเมล์ของคุณที่ลงทะเบียนไว้) เพื่อให้เจ้าของโดเมนเนม กดยอมรับ หลังจากนั้นโดเมนเนมจะถูกโอนย้ายเข้ามาภายในบัญชีปลายทางของคุณ
ใครเป็นเจ้าของโดเมนเนม? และจะตรวจสอบอย่างไร?
ผู้เป็นเจ้าของโดเมนเนม คือ บุคคลหรือองค์กรที่ลงทะเบียนและจ่ายค่าบริการโดเมนเนมจากบริษัทที่ให้บริการจดโดเมนเนม โดยทั่วไป ผู้เป็นเจ้าของโดเมนเนมคือผู้ที่มีสิทธิ์ในการใช้งานและควบคุมโดเมนเนมนั้น
การตรวจสอบว่าใครเป็นเจ้าของโดเมนเนมสามารถทำได้โดยใช้ข้อมูล WHOIS ซึ่งเป็นระบบที่บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือครอง (Owner) ของโดเมนเนม รายละเอียดเหล่านี้รวมถึง
1. ชื่อของเจ้าของ (Owner’s Name) ชื่อของบุคคลหรือองค์กรที่ถือครองโดเมนเนม
2. ที่อยู่ (Address) ที่อยู่ของเจ้าของโดเมนเนม
3. อีเมล (Email) ที่อยู่อีเมลของเจ้าของโดเมนเนม
4. หมายเลขโทรศัพท์ (Phone Number) หมายเลขโทรศัพท์ที่เจ้าของโดเมนเนมสามารถติดต่อได้
การตรวจสอบ WHOIS สามารถทำได้ผ่านหลายทาง
1. WHOIS Lookup Tools Online มีหลายเครื่องมือออนไลน์ที่ให้บริการการตรวจสอบ WHOIS โดยคุณสามารถใส่ชื่อโดเมนเนมที่คุณสนใจเพื่อดูข้อมูล WHOIS ได้ ตัวอย่างของเครื่องมือเหล่านี้รวมถึง “WHOIS Lookup” ที่ Website Gang หรือสถาบันที่มีความสัมพันธ์กับการจดทะเบียนโดเมนเนม
2. การใช้คำสั่ง WHOIS ผ่าน Command Line คุณสามารถใช้คำสั่ง WHOIS ผ่าน Command Line บนหลายระบบปฏิบัติการ ตัวอย่างเช่นบน Windows คุณสามารถใช้คำสั่ง `whois example.com` ใน Command Prompt.
3. ผ่านเว็บไซต์ที่ให้บริการ WHOIS Lookup มีหลายเว็บไซต์ที่ให้บริการตรวจสอบ WHOIS Lookup ฟรีที่คุณสามารถใช้
โปรดทราบว่าบางผู้ถือครองโดเมนเนมอาจเลือกทำข้อมูล WHOIS ให้เป็นความลับหรือใช้บริการการป้องกันความเป็นส่วนตัว (Privacy Protection) ซึ่งทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของโดเมนเนมไม่สามารถดูได้จากสาธารณะ ในกรณีนี้คุณสามารถติดต่อ Registrar หรือผู้ถือครองโดเมนเนมเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม
ราคาของโดเมนเนม เป็นอย่างไร?
ราคาของโดเมนเนมสามารถแปรผันไปตามหลายปัจจัย เช่น ประเภทของโดเมนเนม
บริษัทที่ให้บริการโดเมนเนม, ส่วนขยาย (TLD) ที่คุณเลือก, โปรโมชั่นที่มีอยู่, ระยะเวลาการลงทะเบียนหรือต่ออายุ, การให้บริการเสริมที่มีอยู่ (เช่น บริการป้องกันความเป็นส่วนตัว) และนอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทที่ให้บริการและลูกค้า
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับราคาโดเมนเนมได้โดยตรงจากเว็บไซต์ของบริษัทที่ให้บริการโดเมนเนม หรือใช้เครื่องมือตรวจสอบราคาที่มีออนไลน์จากหลายบริษัทเพื่อเปรียบเทียบ
ควรระมัดระวังว่าราคาโดเมนเนมไม่ได้รวมค่าบริการอื่น ๆ ที่อาจต้องการ เช่น ค่าธรรมเนียมการต่ออายุ, ค่าธรรมเนียมการโอน, บริการป้องกันความเป็นส่วนตัวหรือบริการเสริมอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มเติมลงไป
ความคิดเห็นล่าสุด